วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

เมืองดีกว่าชนบทอย่างไร และ ชนบทดีกว่าในเมืองอย่างไร !

เมืองดีกว่าชนบทอย่างไร

***มันก็มีแสงสีความศิวิไลซ์มากกว่า มีห้างสรรพสินค้ามากกว่า การคมนาคมสะดวกกว่า...

แต่บางคนอาจคิดว่ามันไม่ได้เป็นการดีกว่าตรงไหน ขึ้นอยู่กับมุมมองนะคะ.

ต่างจังหวัดก็ดีกว่าตรงที่เงียบสงบดี และยังมีความบริสุทธิ์อยู่มาก...

***คงเป็นเรื่องของคมนาคม ที่ทันสมัย รวดเร็ว
นอกจากนี้ในเมืองยังมีโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือพร้อมมากกว่าชนบท(บางแห่ง)

***วิถีชีวิต ของชน คนบ้านป่า
ถูกตีค่า ว่าต่ำต้อย ด้อยการเรียน
ทำงานหนัก พออยู่ได้ ให้พากเพียน
เรื่องอ่านเขียน จบปอสี่ ดีถมไป

วิถีชีวิต ของชาวนา ทำงานหนัก
ถ้าหยุดพัก รักสบาย คงจะแย่
หลายปากท้อง ที่รออยู่ ต้องดูแล
พ่อที่แก่ แม่ที่ชรา พาอดตาย

เสร็จจากงาน เก็บเกี่ยวข้าว เข้ายุ้งฉาง
ออกเดินทาง เข้าเมืองใหญ่ จิตใจมุ่ง
หางานทำ นำเงินกลับ เพื่อมาพยุง
คิดปรับปรุง นาข้าวใหม่ ในอีกปี.

***ถ้าอยากจะโต้ให้ชนะ
ต้องดูให้รู้ซึ้งถึงข้อดีข้อด้อยของทั้งตัวเมืองและชนบท
แค่รู้ข้อดีของตัวเมืองอย่างเดียว มันไม่พอหรอก

ลองแยกเป็นเรื่องต่างๆดู

การเมือง การปกครอง
- ส่วนใหญ่หน่วยงานราชการมักจะอยู่ในเขตตัวเมือง ทำให้การติดต่อกับทางราชการต่างๆะดวกกว่าในตัวชนบท

การคมนาคม
- การคมนาคมต่างๆของตัวเมือง มักจะมีมาก และหลากหลายกว่าชนบท ทำให้ไปสะดวกกว่า
แต่มีข้อเสียคือ ตัวเมืองใหญ่ๆที่จัดการจราจรไม่ดีนัก จะทำให้เกิดปัญหาการจราจรขึ้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะยังไงคนเมืองก็มีทางเลือกมากว่าแค่รถยนต์ส่วนตัวอยู่แล้ว
ส่วนชนบท แม้จะไม่มีปัญหารถติดก็จริง แต่ก็มีรถน้อย อีกทั้งสภาพถนนก็มักจะไม่ดีเทียบเท่าตัวเมือง

สภาพเศรษฐกิจ
- มีคนมาก ก็ย่อมมีงานมาก มีงานมาก ก็ย่อมมีเงินหมุนเวียนมาก จึงทำให้สภาพเศรษฐกิจของเมืองใหญ่มีมากกว่าชนบทเสมอ
ดังนั้นหากจะหางานทำ จึงหาในตัวเมืองได้ง่ายกว่าชยบท อีกทั้งข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ยังหาได้มากกว่า โดยเฉพาะปัจจัยสี่ ไม่ว่าอาหาร เครื่องนุ่ง ยารักษาโรค ต่างก็หาได้ง่ายกว่า
แต่ มันก้ทำให้ไม่ว่าจะทำอะไร คนในตัวเมืองมักจะใช้เงินอยู่ตลอดเวลา แต่กลับกัน ในชนบทจะใช้เงินน้อยกว่า

บ้านและที่ดินแพง? ไม่ใช่ปัญหาของตัวเมือง เพราะถึงแพงกว่า แต่ก็เนื่องจากมันเหมาะสำหรับการอยู่อาศัยมากกว่า เพราะมันอยู่ในตัวเมือง สามารถหาเครื่องอำนวยความสะดวกได้ง่ายกว่า
ส่วนที่ชนบทถูกกว่า อาจจะซื้อที่ได้เยอะกว่าก็จริง แต่จะอยู่ห่างไกลและมีเครืองอำนวยความสะดวกน้อยกว่า และความเจริญเข้าไปไม่ถึง ทว่า ถ้าไม่พึ่งพาเรื่องความเจริญตางๆแล้วหันมาใช้ระบบเศรษฐกิจพอเพียง แบบนี้จะดีกว่าในตัวเมือง

สภาพสังคม
- ตัวเมือง สภาพอัตราการแข่งขันสูง ทำให้คนต้องรีบเร่งทำตามในเวลาที่กำหนด แต่กลับกันในชนบทจะรีบเร่งน้อยกว่า อีกทั้งการแข่งขันสูง ยังทำให้คนในเมืองไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนัก
คนในเมืองห้องติดกันเป็นปีๆจะไม่มีทางรู้จักกันได้เลย แต่กลับกัน ในชนบท ถึงแม้จะอยู่กันถึงท้ายมู่บ้าน ก็ะสามารถรู้จักกันได้

สภาพแวดล้อม
- แน่นอน ในตัวเมืองมีสภาพแวดล้อมที่แย่กว่าชนบทแน่นอน และตึกบางอย่างตึกจะไม่มีมาตรฐาน จะทำให้เกิดอาการ"Sick Building Syndrome"ได้

เทคโนโลยี
- สูงกว่าแน่นอน เพราะเนื่องจากมีการแข่งขันสูง มีสภาพเศรษฐกิจที่ดีกว่า แต่ละเจ้าจึงต้องการแข่งขันกันให้เป็นที่หนึ่งเพื่อครอบครองตลาดที่มากกว่า ดังนั้นจึงตองทำให้เทคโนโลยีของตนดีกว่าของผู้อื่นเสมอ
แต่กลับกัน ในชนบทไม่มีการแข่งขัน การพัฒนาจึงไม่เกิด จึงทำให้เทคโนโลยีจึงไม่เข้าไปมากนัก
* การแข่งขันสูง ความต้องการสูง จะนำพาเทคโนโลยี และสิ่งที่ดีกว่ามาเสมอ

การศึกษา
- เช่นเดียวกับเทคโนโลยี เนื่องจากมีการแข่งขันสูง และความต้องการที่จะให้บุตรหลานตนเองได้เรียนที่ดีๆ จึงทำให้โรงเรียนในตัวเมือง ต้องพัฒนาตนเองให้มีการศึกษาที่สูง เพื่อให้เด็กเข้าเยอะๆ

***เป็นส่วนตัวดี(ไม่มีคำนินทา)(แล้วก็จะโดนสวนกลับมาว่า ที่ไม่นินทาก็เพราะไม่มีใครเขาสนใจกัน)
ข้าวของขายเยอะ(มีทั้งถูกยันแพง)
การขนส่งแสนจะดีมีทั้ง รถไฟ เรือ เครื่องบิน รถไฟฟ้าทั้งใจต้ดินบนอากาศ ไม่ต้องมานั่งรอโบกรถไปตลาดให้มาดเสีย
สถานที่เที่ยว (ถ้าเขายกมา) ก็บอกไปเลยว่า จะต้องขี่รถไปให้เปลืองน้ำมันทำไม
ก็สร้างไว้ให้ไม่ต้องไปให้เสียเวลาจะหาทะเลก็สวนสยาม จะหาน้ำตก ห้างยังมีเลย
ดเข้าใต้ดินก็มีโลกใต้ทะเลอีกต่างหาก
อยากเจอสัตว์ป่า ก็เขาดินปะไร

อากาศบริสุทธิ์ ออกไปข้างนอกมันไม่มีอากาศบริสุทธิ์ เดี๋ยวนี้ก็มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำทั้งวัน

สุดท้ายก็สรุปไปว่า
"ถ้าเมืองหลวงไม่ดี ทำไมประชากรยังอพยพเข้ามากรุงเทพอีกเล่า คุณเจ้าขา"
อย่าลืมหาชาร์ต การอพยพของประชากรด้วยนะ
(ที่แน่ๆ อธิบาย คำศัพท์ของคำว่าเมืองหลวงด้วย อ้างพจนานุกรมราชบัณทิตยสถานเลย)

***ใน หัวข้อนี้ ถ้าหากเราจะทำการโต้กันเรื่องการเรียน ผลอาจจะเสมอก็ได้ ไม่ต้องมีฝ่ายแพ้ ชนะ
แต่ว่าเราได้หัวข้อ ชนบทดีกว่าในเมือง ในความเห็นของเรานะ
1.ชนบทดีกว่าตรงที่ อากาศดีกว่า ภูมิประเทศน่าอยู่กว่า ที่กล่าวว่า ชนบทนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นดินแดนที่โคตรทุรกันดารห่างไกลความเจริญซะหน่อย เพียงแต่ว่า เป็นท้องที่ ที่อยู่ห่างจากตัวเมือง (ไม่ใช่ห่างความเจริญ) ในบางท้องที่ก็มีไฟฟ้านี่นา
2. ชนบทไม่มีการแข่งขันกัน อย่างในเมือง ลองนึกไปในสมัยก่อน ที่เราจะมีการแข่งขันเกิดขึ้น ประชาชนก็ยังสามารถอาศัยอยู่ได่อย่างำม่เดือดร้อนเลย พึ่งพากันอีกต่างหาก แต่พอเราดูสมัยนี้ เมื่อมีการเเข่งขันเข้ามา ส่งผลให้ประชาชนมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น จากพึ่งพากันก็กลายเป็นอยู่แบบตัวใครตัวมัน ไม่สนใจ ไม่ช่วยเหลือกัน
3. มนุษย์ที่ได้รับความเจริญแล้ว มักจะเป็นสาเหตุหลักของการเกิดปัญหาใหญ่ภายหลัง เช่น ในปัจจุบันก็มีหนึ่งเรื่องนี้แหละที่ชาวโลกให้ความสนใจกันมาก คือ ภาวะโลกร้อน อะไรล่ะที่เป็นสาเหตุของปัญหานี้ ไม่ใช่ว่ามุนษย์ในเมืองหรอกเหรอที่เกิดความอยากได้เกินความจำเป็นของตนเอง อยากนู่น อยากนี่ แล้วก็ทำลายทรัพยากรกันให้หายไปโดยไม่รู้ตัว ไม่คำนึงถึงผลเสียที่ตามมา
เช่น แอร์ เป็นต้น เพราะแอร์ นี่แหละเป็นสิ่งที่มนุษย์นำมาใช้เพื่อเพิ่มความเย็น ทั้งๆที่ ลมธรรมชาติสะอาดบริสุทธิ์กว่าเยอะ แต่ก็ยังไม่เห็นค่า แต่ถ้าหากเป็นโทรทัศน์ วิทยุ เราก็เข้าใจเพราะต้องใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน เป็นการให้ข่าวสารชนิดหนึ่ง

*************************************************************************************

>

***ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง
เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง
เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น

เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น…..
เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง
เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง
เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง
ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น

***ทุกฤดูกาลชีวิตที่ว่ายเวียนอยู่มิรู้เหน็ดเหนื่อย
หลังฤดูเก็บเกี่ยวรวงข้าว ตะแบกแหละคูนพากันบานพราว
ให้แสนจะคิดถึงชนบทที่เคยพาใจไปพัก
กับบึงบัวบานสะพรั่งและกองฟืนลอมฟางซีดเซียว
สะแบงหลวงต้นใหญ่ทิ้งใบลงลาเลือนยามอาทิตย์อัสดง
ท่ามยากไร้และแล้งแห่งคิมหันต์ ธรรมชาติเปลี่ยนสี
หากสุดแสนจะงดงามยินดีในความรู้สึกสามัญ...
และดำรงไว้ซึ่งคุณค่าแห่งธรรมที่ไม่ปรุงแต่ง

แหละในวันนี้ที่พบว่า...
ท้องถิ่นชนบทกำลังรอให้จิตวิญญาณที่แสนจะอ่อนล้า
ได้ชุบชื่นและมีพลังหวังอีกครั้ง แค่เปิดใจให้เห็นงาม



ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันรด์
กับวันที่ชนบทเรียกหา 6 เมษายน 2552


1. ด้านความรับผิดชอบ
เมือง
เด็กนักเรียนในเมืองส่วนใหญ่มีมีฐานะค่อนข้างดี ผู้ปกครองอบรมเลี้ยงดูแบบคุณหนู จึงไม่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง แม้ส่วนมากจะมีผลการเรียนดี แต่ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบโกหกผู้ปกครอง ไม่รู้จักการรักนวลสงวนตัว
ชนบท
เด็กนักเรียนในชนบทบทมีความรับผิดชอบสูง รู้จักช่วยเหลือพ่อแม่ในการทำงานบ้าน ช่วยเหลือตัวเองเป็น แถมยังรู้จักช่วยเหลือผู้อื่นด้วย
………………………………………………………………………………
2. ด้านห้องเรียนห้องเรียน
เมือง
- นักเรียนใน 1 ห้องเรียนจะมีจำนวนมากกว่าครูผู้สอน จนทำให้นักเรียนมีความรู้ที่ไม่ทั่วถึง บางคนก็รู้เรื่อง ส่วนบางคนก็จะไม่รู้เรื่องเลย
- เวลาเรียนนักเรียนจะมีความสนใจในการเรียนน้อย เพราะส่วนมากมักจะคุยกันเสียมากกว่า แล้วบางคนก็คิดว่าตัวเองรู้แล้ว เก่งแล้ว ก็เลยไม่สนใจฟัง แล้วก้อจะไม่ค่อยซักถามด้วย
ชนบท
- นักเรียนใน 1 ห้องเรียนจะมีจำนวนน้อย แล้วครูก็จะสามารถสอนได้อย่างทั่วถึง แถมยังให้ความเอาใจใส่เด็กเป็นอย่างมากอีกด้วย
- ในเวลาเรียน นักเรียนจะตั้งใจเรียน แล้วก็จะคอยซักถามในข้อสงสัยอยู่เสมอด้วยความสนใจ
- เอาโรงเรียนและห้องเรียนเป็นห้องทดลอง เขาจะพานักเรียนไปสัมผัสสังคมและธรรมชาติด้วยตนเอง ถือสังคมและธรรมชาติเป็นโรงเรียนและห้องเรียนขนาดใหญ่ "
- การเรียนในชนบทเป็นการเรียนเพื่อชีวิต และมีชีวิตเพื่อการเรียน มากกว่าการเรียนในเมืองเพราะบางทีการเรียนในเมืองจะมีสิ่งที่ยั่วยุมากกว่า มีการแกล่งแย่งชิงดีกัน และไม่สนใจที่จะเรียนเหมือนการเรียนในชนบท

ในเมืองมีแต่ควันพิษชุมชนแออัดจราจรคับคั่งโรงงานอุตสหกรรมน้ำเสียนลงในแม่น้ำลำคลองและยังปล่อยควันพิษมากด้วยทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยมีสุขภาพที่ไม่ค่อยดีคนในเมืองไม่ค่อยมีน้ำใจเพราะว่าในปัจจุบันนี้ต้องแข่งขันกันทำงานไม่เหมือนชนบทอากาศก็สดชื้นมีความสงบสุขและมีน้ำใจต่อกัน

ไม่รีบเร่ง ไม่รถติด ไม่ต้องแย่งกันทุกอย่าง (ตัวอย่างเช่น แย่งกันหายใจ แย่งกันขึ้นรถเมล์ แย่งกันตื่นเช้า ฯลฯ) รู้จักกันเกือบหมด คนแปลกหน้า ต้องระวัง (อะไรประมาณนี้ มีเยอะมาก ต้องคิดต่อเอง)


ในเมืองมีเครื่องอำนวยความสะดวกโรงงานอุตสหกรรมมีการบำบัดน้ำเสียก่อนจะปล่อยลงสู่แม่น้ำมีการใช้เครื่องกำจัดฝุ่นละอองก่อนจะปล่อยออกไปและยังมีการกำหนดปริมาณการปล่อยควันพิษในเมืองมีรถไฟฟ้าแต่ในชนบทไม่มีในเมืองมีถนนทางด่วนแต่ในชนบทมีแต่ถนนเป็นหลุมชนบทบ้างแห่งก็ไม่มีไฟฟ้าใช้

1 ความคิดเห็น:

  1. คืออยากบอกว่าที่เขาบอกว่าเข้าไปทำงานในก.ท.ม.ที่เข้าไปเพราะอยากได้เงินมากขึ้นต่อให้เเลกด้วยคำพูดที่หยาบคายของคนในเมืองก็เถอะ

    ตอบลบ