วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

กลอน คำคม

แต่ละคนก็มีชีวิตอยู่ในโลก
ต่างยากยิ่งจะไม่เป็นกระพรวนของผู้อื่น
ท่านเป็นกระพรวนของผู้อื่น
ข้าพเจ้าไหนเลยจะมิใช่?
และในตัวคนเขย่ากระพรวน
ก็มิแน่ยังมีเชือกเส้นหนึ่ง
ผูกพันธนาการไว้กับมือผู้อื่นด้วย


พระบรมราโชวาทของ ร.9

จงละอายความชั่ว จงกลัวทำบาป
จงสาปการเอาเปรียบ จงเหยียบความหยาบคาย
จงสู้ตายเรื่องงาน จงขยันหมั่นเพียร
จงขีดเขียนตามระบอบ จงรับผิดชอบชั่วดี
จงเมินหนีความมักง่าย จงอุทิศกายเสียสละ
จงเลิกละอบายมุข จงบริหารความสุขให้ครอบครัว
จงเลิกมั่วยาบ้า จงอย่าค้าของปลอม
จงอย่ายอมเสียชาติ จงฉลาดครองทรัพย์

เป็นคุณสมบัติเหลือคณานับ จำเป็นสำหรับคนทุกคน


ผลงานสุนทรภู่ ประเภทนิราศมี 9 เรื่อง
1. นิราศเมืองแกลง 2350
2. นิราศพระบาท 2350
3. นิราศภูเขาทอง 2371
4. นิราศเมืองเพชร 2371-2374
5. นิราศวัดเจ้าฟ้า 2375
6. นิราศอิเหนา 2375-2378
7. นิราศสุพรรณ 2377-2380 8. รำพันพิลาป 2385
9. นิราศพระประธม 2385-2388


ประเภทนิทาน แยกเป็น ดังนี้
ประเภทนิทานมี ๕ เรื่อง 1. โคบุตร 2. พระอภัยมณี 3. พระไชยสุริยา 4. ลักษณะวงศ์ 5. สิงหไกรภพ
ประเภทสุภาษิตมี ๒ เรื่อง 1. สวัสดิรักษา 2. เพลงยาวถวายโอวาท
ประเภทบทละครมี ๑ เรื่อง 1. อภัยนุราช
ประเภทเสภามี ๒ เรื่อง 1. ขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม 2. พระราชพงศาวดาร
ประเภทบทเห่กล่อมมี ๔ เรื่อง 1. จับระบำ 2. กากี 3. พระอภัยมณี 4. โคบุตร

นิราศภูเขาทอง
๏ ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป

นิราศเมืองเพชร
โอ้พ่อแม่แต่ชั้นลิงไม่ทิ้งบุตร เพราะแสนสุดเสน่หานิจจาเอ๋ย
ที่ลูกอ่อนป้อนนมนั่งชมเชย กระไรเลยแลเห็นน่าเอ็นดู
แต่ลิงใหญ่อ้ายทโมนมันโลนเหลือ จนชาวเรือเมินหมดด้วยอดสู
ทั้งลิงเผือกเทือกเถามันเจ้าชู้ ใครแลดูมันนักมันยักคิ้ว
บ้างกระโดดโลดหาแต่อาหาร ได้สมานยอดแสมพอแก้หิว
เขาโห่เกรียวประเดี๋ยวใจก็ไพล่พลิ้ว กลับชี้นิ้วให้ดูอดสูตาฯ

นิราศสุพรรณ
(๑) ๏ เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว
จรูญจรัดรัศมีพราว พร่างพร้อย
ยามดึกนึกหนาวหนาว เขนยแนบ แอบเอย
เย็นฉ่ำน้ำค้างย้อย เยือกฟ้าพาหนาวฯ

อ่าน และ เลือกเพิ่ม


****แสงอรุณ อ่อนอ่อน ในตอนเช้า

สายลมเบา พริ้วไหว ต้องไพรเขียว

น้ำค้างพราว พรมพร่าง บนทางเรียว

เดินตัวเอี้ยว กลัวเอียงหล่น บนคันนา

ทางลื่นชื้น ชุ่มฉ่ำ ด้วยน้ำฝน

ที่หลั่งจน ล้นหลาก จากฟากฟ้า

ดุจดั่งน้ำ ทิพย์ทอง ของชาวนา

ที่ต่างรอ เวลา นาทีทอง****


พระบรมราโชวาท ๓๖ ข้อของ. . . พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่๙

๑. ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ
๒. อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด นอกจาก " ปัญญา"และ "ความกล้าหาญ"
๓. จงใช้จุดแข็ง แต่อย่าเอาชนะจุดอ่อน
๔. อ่านหนังสือ "ธรรมะ" ปีละเล่ม
๕. ปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา
๖. พูดคำว่า "ขอบคุณ" ให้มากๆ
๗. รักษา "ความลับ" ให้เป็น
๘. ประเมินคุณค่าของการให้ "อภัย" ให้สูง
๙. ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี
๑๐. ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำหนิ และรู้แก่ใจว่า เป็นจริง
๑๑. หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่
๑๒. เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนัก ให้คิดเสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว
๑๓. อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟท์
๑๔. ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน
๑๕. อย่าหยิ่งที่จะกล่าวคำว่า "ขอโทษ"
๑๖. อย่า อาย หากจะบอกใครว่า "ไม่รู้"
๑๗. ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดเส้นทาง
๑๘. ไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป
๑๙. การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นหนทางแห่งความไม่ประมาท
๒๐. คนไม่ รักเงิน คือ คนไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต
๒๑. ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบก่อน คือ ผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี
๒๒. ชีวิตนี้ฉันไม่เคยได้ทำงานเลยสักวัน ทุกวันเป็นวันที่สนุกหมด
๒๓. "เพื่อน ใหม่" คือ ของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วน "เพื่อนเก่า" คือ อัญมณีที่นับวันจะเพิ่มค่า
๒๔. เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้า ใจ ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่เราพูด
๒๕. เหรียญเดียวมีสองหน้า "ความสำเร็จ"กับ "ล้มเหลว"
๒๖. อย่าตามใจตัวเอง เรื่องยุ่งๆ ที่เกิดขึ้นล้วนตามใจตนเองทั้งสิ้น
๒๗. ฟันร่วงเพราะมัน แข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน
๒๘. อย่าดึงต้นกล้าให้โตไวๆ (อย่าใจร้อน)
๒๙. ระลึกถึงความตายวันละ 3 ครั้ง ชีวิตจะมีสุข มีอภัย มีให้
๓๐. ถ้า ติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อๆไปก็จะผิดหมด
๓๑. ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวัน เวลาแล้วเสร็จ
๓๒. จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด
๓๓. ดาวและเดือนที่อยู่สูง อยากได้ต้องปีน "บันไดสูง"
๓๔. มนุษย์ทุกคนมี ชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ
๓๕. หนังสือ เป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม
๓๖. ระเบียบวินัย คือ คุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

เทคนิคการพูด

โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อันวาจา พาที นี้เป็นเอก
จะปลุกเสก ให้คนชอบ ตอบสนอง
จะต้องพูด ให้สนุก สุขสมปอง
ขอรับรอง สำเร็จกิจ พิชิตชัย
นักพูดที่มีชื่อเสียงหลายคนทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ มักมีเทคนิคแตกต่างกัน
อ.ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ เจ้าตำรับทอล์คโชว์เมืองไทยคนแรกๆ อ.ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ มักจะเขียนสิ่งที่น่าสนใจหรือสิ่งที่ใช้ประกอบการพูดลงในกระดาษแผ่นเล็กๆ แทบทุกวัน เมื่อถึงเวลาแสดงทอล์คโชว์ ก็จะเปิดกล่องแล้วนำมาเขียนบทพูด
ชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย มักให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเตรียมคำพูด ท่านจะมีสมุดอยู่เล่มหนึ่ง เวลาอ่านเจอคำพูดของใครที่น่าสนใจหรือที่สามารถจะนำไปใช้ในอนาคตได้ ท่านก็จะจดเป็นข้อมูล แล้วท่านก็เขียนโครงเรื่อง ซ้อมพูด อัดใส่เทป เปิดฟังแล้วแก้ไข เมื่อแก้ไขจนท่านพอใจถึงได้นำออกไปพูด
เดล คาร์เนกี้ อาจารย์สอนด้านการพูดระดับโลกเคยซ้อมบทพูดต่อกองหญ้า ซ้อมพูดขณะถอนหญ้า หรืออดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ ลินคอล์น ซ้อมพูดขณะอยู่บนหลังม้า ขณะที่ขี่ม้าเดินทางเป็นระยะทางไกลๆ
บางคนก็ฝึกพูดต่อหน้ากระจกแล้วก็ได้ผล ในวันนี้กระผมจึงอยากจะเขียนถึงเรื่องเทคนิคการพูด
1. การพูดที่ดีต้องเน้นไปที่ตัวผู้ฟังเป็นหลัก ควรพูดเรื่องที่ใกล้ตัวผู้ฟัง ควรพูดให้ตรงกับวัยของผู้ฟัง เช่น การพูดให้วัยรุ่นควรพูดเรื่องที่สนุกสนาน พูดให้วัยทำงานก็ควรพูดเกี่ยวกับเรื่องอาชีพ ความก้าวหน้าในอนาคต วัยชราหรือวัยสูงอายุ ก็ควรพูดเกี่ยวกับเรื่องศาสนา เรื่องของสุขภาพ
2. การพูดที่ดีต้องยกตัวอย่างให้มากๆ บางครั้งเรื่องที่พูดจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนามธรรมเพราะฉะนั้น นักพูดที่มีประสบการณ์สูง มักจะยกตัวอย่างประกอบการพูดมากๆ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจ ที่สำคัญการยกตัวอย่างประกอบควรเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พูดด้วย ไม่ควรนำตัวอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องมาประกอบกับหัวข้อเรื่องที่บรรยายถึงแม้ว่าตัวอย่างนั้นจะสนุกหรือเป็นตัวอย่างที่ดีก็ตาม
3. การพูดที่ดีต้องสอดใส่อารมณ์ขัน โดยเฉพาะในสังคมไทยเรา นักพูดที่มีอารมณ์มักเป็นที่นิยม เป็นที่ศรัทธาต่อผู้ฟัง การมีอารมณ์ขันมักช่วยให้การพูดเกิดการผ่อนคลาย การมีอารมณ์ขันสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี การมีอารมณ์ขันมักจะสร้างเสน่ห์ให้แก่ตัวผู้พูดเอง
4. การพูดที่ดีต้องครบเครื่อง หมายถึง มีบทกลอนประกอบการพูดบ้าง มีเพลงประกอบการพูดบ้าง มีคำคมประกอบการพูดบ้าง ดังนั้นผู้รักที่จะเป็นนักพูดควรอ่าน ควรท่อง บทกลอน คำคม ควรฝึกร้องเพลงประกอบการพูด เพื่อให้การพูดของตนเกิดความหลากหลายผู้ฟังจะได้ไม่เบื่อหน่ายแต่จะสนุกเมื่อได้ฟังเราพูด
5.การพูดที่ดี ควรมีน้ำเสียงต่างๆประกอบการพูดตามสถานการณ์ต่างๆ ถ้อยคำบ่งบอกถึงความหมาย แต่น้ำเสียงก่อให้เกิดการหวั่นไหวได้ เช่น เราไล่สุนัข ไป ไป ไป ด้วยเสียงเบาๆ สุนัขมักไม่กลัวแต่กลับเดินมาหาเรา แต่ถ้าเราเรียกสุนัข มา มา มาเนี่ย ด้วยเสียงดัง สุนัขมักกลัวกลับไม่มาหาเรา เพราะอะไรครับ ก็เพราะน้ำเสียงของเรานั่นเอง
6. การพูดที่ดี ต้องเป็นตัวของตัวเอง เราอาจจะประทับใจนักพูดคนใดก็ตาม เราอาจจะเรียนรู้จากนักพูดคนใดก็ตาม เราอยากเป็นเหมือนใครก็ตาม แต่สุดท้าย เราต้องเป็นตัวของเราเอง เราอาจจะเลียนแบบนักพูดคนใดก็ตามที่เราชอบ เช่น อาจารย์จตุพล ชมพูนิช เราเลียนแบบ อาจารย์จตุพล ชมพูนิช ได้เหมือนที่สุด เราก็เป็นที่สอง ดังนั้น จงเป็นตัวของตัวเอง แล้ว คุณจะเป็นที่หนึ่งในแบบฉบับของคุณเอง
คนคิดน้อย พูดมาก
คนพูดมาก ทำน้อย
พูดดี มิได้หมายความว่าทำดี
พูดเก่ง มิได้หมายความว่าทำเก่ง
โง่หรือฉลาด อาจทราบได้จาก คำพูด

เมืองดีกว่าชนบทอย่างไร และ ชนบทดีกว่าในเมืองอย่างไร !

เมืองดีกว่าชนบทอย่างไร

***มันก็มีแสงสีความศิวิไลซ์มากกว่า มีห้างสรรพสินค้ามากกว่า การคมนาคมสะดวกกว่า...

แต่บางคนอาจคิดว่ามันไม่ได้เป็นการดีกว่าตรงไหน ขึ้นอยู่กับมุมมองนะคะ.

ต่างจังหวัดก็ดีกว่าตรงที่เงียบสงบดี และยังมีความบริสุทธิ์อยู่มาก...

***คงเป็นเรื่องของคมนาคม ที่ทันสมัย รวดเร็ว
นอกจากนี้ในเมืองยังมีโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือพร้อมมากกว่าชนบท(บางแห่ง)

***วิถีชีวิต ของชน คนบ้านป่า
ถูกตีค่า ว่าต่ำต้อย ด้อยการเรียน
ทำงานหนัก พออยู่ได้ ให้พากเพียน
เรื่องอ่านเขียน จบปอสี่ ดีถมไป

วิถีชีวิต ของชาวนา ทำงานหนัก
ถ้าหยุดพัก รักสบาย คงจะแย่
หลายปากท้อง ที่รออยู่ ต้องดูแล
พ่อที่แก่ แม่ที่ชรา พาอดตาย

เสร็จจากงาน เก็บเกี่ยวข้าว เข้ายุ้งฉาง
ออกเดินทาง เข้าเมืองใหญ่ จิตใจมุ่ง
หางานทำ นำเงินกลับ เพื่อมาพยุง
คิดปรับปรุง นาข้าวใหม่ ในอีกปี.

***ถ้าอยากจะโต้ให้ชนะ
ต้องดูให้รู้ซึ้งถึงข้อดีข้อด้อยของทั้งตัวเมืองและชนบท
แค่รู้ข้อดีของตัวเมืองอย่างเดียว มันไม่พอหรอก

ลองแยกเป็นเรื่องต่างๆดู

การเมือง การปกครอง
- ส่วนใหญ่หน่วยงานราชการมักจะอยู่ในเขตตัวเมือง ทำให้การติดต่อกับทางราชการต่างๆะดวกกว่าในตัวชนบท

การคมนาคม
- การคมนาคมต่างๆของตัวเมือง มักจะมีมาก และหลากหลายกว่าชนบท ทำให้ไปสะดวกกว่า
แต่มีข้อเสียคือ ตัวเมืองใหญ่ๆที่จัดการจราจรไม่ดีนัก จะทำให้เกิดปัญหาการจราจรขึ้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะยังไงคนเมืองก็มีทางเลือกมากว่าแค่รถยนต์ส่วนตัวอยู่แล้ว
ส่วนชนบท แม้จะไม่มีปัญหารถติดก็จริง แต่ก็มีรถน้อย อีกทั้งสภาพถนนก็มักจะไม่ดีเทียบเท่าตัวเมือง

สภาพเศรษฐกิจ
- มีคนมาก ก็ย่อมมีงานมาก มีงานมาก ก็ย่อมมีเงินหมุนเวียนมาก จึงทำให้สภาพเศรษฐกิจของเมืองใหญ่มีมากกว่าชนบทเสมอ
ดังนั้นหากจะหางานทำ จึงหาในตัวเมืองได้ง่ายกว่าชยบท อีกทั้งข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ยังหาได้มากกว่า โดยเฉพาะปัจจัยสี่ ไม่ว่าอาหาร เครื่องนุ่ง ยารักษาโรค ต่างก็หาได้ง่ายกว่า
แต่ มันก้ทำให้ไม่ว่าจะทำอะไร คนในตัวเมืองมักจะใช้เงินอยู่ตลอดเวลา แต่กลับกัน ในชนบทจะใช้เงินน้อยกว่า

บ้านและที่ดินแพง? ไม่ใช่ปัญหาของตัวเมือง เพราะถึงแพงกว่า แต่ก็เนื่องจากมันเหมาะสำหรับการอยู่อาศัยมากกว่า เพราะมันอยู่ในตัวเมือง สามารถหาเครื่องอำนวยความสะดวกได้ง่ายกว่า
ส่วนที่ชนบทถูกกว่า อาจจะซื้อที่ได้เยอะกว่าก็จริง แต่จะอยู่ห่างไกลและมีเครืองอำนวยความสะดวกน้อยกว่า และความเจริญเข้าไปไม่ถึง ทว่า ถ้าไม่พึ่งพาเรื่องความเจริญตางๆแล้วหันมาใช้ระบบเศรษฐกิจพอเพียง แบบนี้จะดีกว่าในตัวเมือง

สภาพสังคม
- ตัวเมือง สภาพอัตราการแข่งขันสูง ทำให้คนต้องรีบเร่งทำตามในเวลาที่กำหนด แต่กลับกันในชนบทจะรีบเร่งน้อยกว่า อีกทั้งการแข่งขันสูง ยังทำให้คนในเมืองไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนัก
คนในเมืองห้องติดกันเป็นปีๆจะไม่มีทางรู้จักกันได้เลย แต่กลับกัน ในชนบท ถึงแม้จะอยู่กันถึงท้ายมู่บ้าน ก็ะสามารถรู้จักกันได้

สภาพแวดล้อม
- แน่นอน ในตัวเมืองมีสภาพแวดล้อมที่แย่กว่าชนบทแน่นอน และตึกบางอย่างตึกจะไม่มีมาตรฐาน จะทำให้เกิดอาการ"Sick Building Syndrome"ได้

เทคโนโลยี
- สูงกว่าแน่นอน เพราะเนื่องจากมีการแข่งขันสูง มีสภาพเศรษฐกิจที่ดีกว่า แต่ละเจ้าจึงต้องการแข่งขันกันให้เป็นที่หนึ่งเพื่อครอบครองตลาดที่มากกว่า ดังนั้นจึงตองทำให้เทคโนโลยีของตนดีกว่าของผู้อื่นเสมอ
แต่กลับกัน ในชนบทไม่มีการแข่งขัน การพัฒนาจึงไม่เกิด จึงทำให้เทคโนโลยีจึงไม่เข้าไปมากนัก
* การแข่งขันสูง ความต้องการสูง จะนำพาเทคโนโลยี และสิ่งที่ดีกว่ามาเสมอ

การศึกษา
- เช่นเดียวกับเทคโนโลยี เนื่องจากมีการแข่งขันสูง และความต้องการที่จะให้บุตรหลานตนเองได้เรียนที่ดีๆ จึงทำให้โรงเรียนในตัวเมือง ต้องพัฒนาตนเองให้มีการศึกษาที่สูง เพื่อให้เด็กเข้าเยอะๆ

***เป็นส่วนตัวดี(ไม่มีคำนินทา)(แล้วก็จะโดนสวนกลับมาว่า ที่ไม่นินทาก็เพราะไม่มีใครเขาสนใจกัน)
ข้าวของขายเยอะ(มีทั้งถูกยันแพง)
การขนส่งแสนจะดีมีทั้ง รถไฟ เรือ เครื่องบิน รถไฟฟ้าทั้งใจต้ดินบนอากาศ ไม่ต้องมานั่งรอโบกรถไปตลาดให้มาดเสีย
สถานที่เที่ยว (ถ้าเขายกมา) ก็บอกไปเลยว่า จะต้องขี่รถไปให้เปลืองน้ำมันทำไม
ก็สร้างไว้ให้ไม่ต้องไปให้เสียเวลาจะหาทะเลก็สวนสยาม จะหาน้ำตก ห้างยังมีเลย
ดเข้าใต้ดินก็มีโลกใต้ทะเลอีกต่างหาก
อยากเจอสัตว์ป่า ก็เขาดินปะไร

อากาศบริสุทธิ์ ออกไปข้างนอกมันไม่มีอากาศบริสุทธิ์ เดี๋ยวนี้ก็มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำทั้งวัน

สุดท้ายก็สรุปไปว่า
"ถ้าเมืองหลวงไม่ดี ทำไมประชากรยังอพยพเข้ามากรุงเทพอีกเล่า คุณเจ้าขา"
อย่าลืมหาชาร์ต การอพยพของประชากรด้วยนะ
(ที่แน่ๆ อธิบาย คำศัพท์ของคำว่าเมืองหลวงด้วย อ้างพจนานุกรมราชบัณทิตยสถานเลย)

***ใน หัวข้อนี้ ถ้าหากเราจะทำการโต้กันเรื่องการเรียน ผลอาจจะเสมอก็ได้ ไม่ต้องมีฝ่ายแพ้ ชนะ
แต่ว่าเราได้หัวข้อ ชนบทดีกว่าในเมือง ในความเห็นของเรานะ
1.ชนบทดีกว่าตรงที่ อากาศดีกว่า ภูมิประเทศน่าอยู่กว่า ที่กล่าวว่า ชนบทนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นดินแดนที่โคตรทุรกันดารห่างไกลความเจริญซะหน่อย เพียงแต่ว่า เป็นท้องที่ ที่อยู่ห่างจากตัวเมือง (ไม่ใช่ห่างความเจริญ) ในบางท้องที่ก็มีไฟฟ้านี่นา
2. ชนบทไม่มีการแข่งขันกัน อย่างในเมือง ลองนึกไปในสมัยก่อน ที่เราจะมีการแข่งขันเกิดขึ้น ประชาชนก็ยังสามารถอาศัยอยู่ได่อย่างำม่เดือดร้อนเลย พึ่งพากันอีกต่างหาก แต่พอเราดูสมัยนี้ เมื่อมีการเเข่งขันเข้ามา ส่งผลให้ประชาชนมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น จากพึ่งพากันก็กลายเป็นอยู่แบบตัวใครตัวมัน ไม่สนใจ ไม่ช่วยเหลือกัน
3. มนุษย์ที่ได้รับความเจริญแล้ว มักจะเป็นสาเหตุหลักของการเกิดปัญหาใหญ่ภายหลัง เช่น ในปัจจุบันก็มีหนึ่งเรื่องนี้แหละที่ชาวโลกให้ความสนใจกันมาก คือ ภาวะโลกร้อน อะไรล่ะที่เป็นสาเหตุของปัญหานี้ ไม่ใช่ว่ามุนษย์ในเมืองหรอกเหรอที่เกิดความอยากได้เกินความจำเป็นของตนเอง อยากนู่น อยากนี่ แล้วก็ทำลายทรัพยากรกันให้หายไปโดยไม่รู้ตัว ไม่คำนึงถึงผลเสียที่ตามมา
เช่น แอร์ เป็นต้น เพราะแอร์ นี่แหละเป็นสิ่งที่มนุษย์นำมาใช้เพื่อเพิ่มความเย็น ทั้งๆที่ ลมธรรมชาติสะอาดบริสุทธิ์กว่าเยอะ แต่ก็ยังไม่เห็นค่า แต่ถ้าหากเป็นโทรทัศน์ วิทยุ เราก็เข้าใจเพราะต้องใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน เป็นการให้ข่าวสารชนิดหนึ่ง

*************************************************************************************

>

***ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง
เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง
เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น

เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น…..
เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง
เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง
เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง
ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น

***ทุกฤดูกาลชีวิตที่ว่ายเวียนอยู่มิรู้เหน็ดเหนื่อย
หลังฤดูเก็บเกี่ยวรวงข้าว ตะแบกแหละคูนพากันบานพราว
ให้แสนจะคิดถึงชนบทที่เคยพาใจไปพัก
กับบึงบัวบานสะพรั่งและกองฟืนลอมฟางซีดเซียว
สะแบงหลวงต้นใหญ่ทิ้งใบลงลาเลือนยามอาทิตย์อัสดง
ท่ามยากไร้และแล้งแห่งคิมหันต์ ธรรมชาติเปลี่ยนสี
หากสุดแสนจะงดงามยินดีในความรู้สึกสามัญ...
และดำรงไว้ซึ่งคุณค่าแห่งธรรมที่ไม่ปรุงแต่ง

แหละในวันนี้ที่พบว่า...
ท้องถิ่นชนบทกำลังรอให้จิตวิญญาณที่แสนจะอ่อนล้า
ได้ชุบชื่นและมีพลังหวังอีกครั้ง แค่เปิดใจให้เห็นงาม



ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันรด์
กับวันที่ชนบทเรียกหา 6 เมษายน 2552


1. ด้านความรับผิดชอบ
เมือง
เด็กนักเรียนในเมืองส่วนใหญ่มีมีฐานะค่อนข้างดี ผู้ปกครองอบรมเลี้ยงดูแบบคุณหนู จึงไม่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง แม้ส่วนมากจะมีผลการเรียนดี แต่ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบโกหกผู้ปกครอง ไม่รู้จักการรักนวลสงวนตัว
ชนบท
เด็กนักเรียนในชนบทบทมีความรับผิดชอบสูง รู้จักช่วยเหลือพ่อแม่ในการทำงานบ้าน ช่วยเหลือตัวเองเป็น แถมยังรู้จักช่วยเหลือผู้อื่นด้วย
………………………………………………………………………………
2. ด้านห้องเรียนห้องเรียน
เมือง
- นักเรียนใน 1 ห้องเรียนจะมีจำนวนมากกว่าครูผู้สอน จนทำให้นักเรียนมีความรู้ที่ไม่ทั่วถึง บางคนก็รู้เรื่อง ส่วนบางคนก็จะไม่รู้เรื่องเลย
- เวลาเรียนนักเรียนจะมีความสนใจในการเรียนน้อย เพราะส่วนมากมักจะคุยกันเสียมากกว่า แล้วบางคนก็คิดว่าตัวเองรู้แล้ว เก่งแล้ว ก็เลยไม่สนใจฟัง แล้วก้อจะไม่ค่อยซักถามด้วย
ชนบท
- นักเรียนใน 1 ห้องเรียนจะมีจำนวนน้อย แล้วครูก็จะสามารถสอนได้อย่างทั่วถึง แถมยังให้ความเอาใจใส่เด็กเป็นอย่างมากอีกด้วย
- ในเวลาเรียน นักเรียนจะตั้งใจเรียน แล้วก็จะคอยซักถามในข้อสงสัยอยู่เสมอด้วยความสนใจ
- เอาโรงเรียนและห้องเรียนเป็นห้องทดลอง เขาจะพานักเรียนไปสัมผัสสังคมและธรรมชาติด้วยตนเอง ถือสังคมและธรรมชาติเป็นโรงเรียนและห้องเรียนขนาดใหญ่ "
- การเรียนในชนบทเป็นการเรียนเพื่อชีวิต และมีชีวิตเพื่อการเรียน มากกว่าการเรียนในเมืองเพราะบางทีการเรียนในเมืองจะมีสิ่งที่ยั่วยุมากกว่า มีการแกล่งแย่งชิงดีกัน และไม่สนใจที่จะเรียนเหมือนการเรียนในชนบท

ในเมืองมีแต่ควันพิษชุมชนแออัดจราจรคับคั่งโรงงานอุตสหกรรมน้ำเสียนลงในแม่น้ำลำคลองและยังปล่อยควันพิษมากด้วยทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยมีสุขภาพที่ไม่ค่อยดีคนในเมืองไม่ค่อยมีน้ำใจเพราะว่าในปัจจุบันนี้ต้องแข่งขันกันทำงานไม่เหมือนชนบทอากาศก็สดชื้นมีความสงบสุขและมีน้ำใจต่อกัน

ไม่รีบเร่ง ไม่รถติด ไม่ต้องแย่งกันทุกอย่าง (ตัวอย่างเช่น แย่งกันหายใจ แย่งกันขึ้นรถเมล์ แย่งกันตื่นเช้า ฯลฯ) รู้จักกันเกือบหมด คนแปลกหน้า ต้องระวัง (อะไรประมาณนี้ มีเยอะมาก ต้องคิดต่อเอง)


ในเมืองมีเครื่องอำนวยความสะดวกโรงงานอุตสหกรรมมีการบำบัดน้ำเสียก่อนจะปล่อยลงสู่แม่น้ำมีการใช้เครื่องกำจัดฝุ่นละอองก่อนจะปล่อยออกไปและยังมีการกำหนดปริมาณการปล่อยควันพิษในเมืองมีรถไฟฟ้าแต่ในชนบทไม่มีในเมืองมีถนนทางด่วนแต่ในชนบทมีแต่ถนนเป็นหลุมชนบทบ้างแห่งก็ไม่มีไฟฟ้าใช้

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

เทคนิคการโต้วาที



ชนะการโต้วาทีที่1 เรื่อง ปุ๋ยเคมีดีกว่าปุ๋ยชีวภาพ
ชนะการโต้วาทีที่2 เรื่อง เด็กไทยดีกว่าเด็กฝรั่งฯลฯ
อ่านรายละเอียด น้องนิ


วิธีการโต้วาที
เริ่มจาก
ประธานหรือผู้ดำเนินการโต้วาทีจะกล่าวเปิดการโต้วาที
หัวหน้าฝ่ายเสนอ แล้วจึงสลับไปเป็นหัวหน้าฝ่ายค้าน
ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่1 ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่1
ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่2 ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่2
เมื่อหมดเวลาการโต้วาที ผู้ดำเนินการโต้วาทีจะให้ หัวหน้าฝ่ายค้านสรุป จากนั้นหัวหน้าฝ่ายเสนอสรุป เพื่อจะได้มีโอกาสที่จะพูดแก้เหตุผลของฝ่ายค้านได้อย่างเต็มที่


เทคนิคการโต้วาที คือ

การป้องกัน หมายถึง การป้องกันญัตติด้วยการหาเหตุผลมาล้อมรั้วสาระของญัตติ
การโจมตี การกล่าวซ้ำเติม หรือกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าไร้เหตุผล
การต่อต้าน การหักล้างเหตุผลการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามที่กล่าวโจมตีฝ่ายตน
การค้านอย่างมีศิลปะ การค้านจะทำได้ 3 วิธี คือ
ค้านญัตติ เป็นการค้านตัวญัตติหรือสาระของญัตติว่าไม่ถูกต้อง
ค้านเหตุผล เป็นการค้านเหตุผลที่อีกฝ่ายเสนอมา
ค้านข้ออ้างอิง เป็นการค้านข้ออ้างอิงที่อีกฝ่ายเสนอมา

1. ในการโต้แย้งแสดงคารม ควรใช้ความรู้ต่างๆ มาประกอบเสมอ

2.การแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นการเสนอหรือการค้าน ควรเสนอข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ ให้มีเหตุผลน่าเชื่อถือ

3. ควรมีศิลปะในการใช้ภาษาที่จะจูงใจให้ผู้ฟังมีความเห็นคล้อยตาม เห็นดีเห็นงามกับข้อคิดเห็น ข้อมูลต่างๆ ที่เสนอไป

4. การกล่าวคัดค้าน กล่าวแก้ ควรทำให้แนบเนียน จนผู้ฟังเห็นว่าเหตุผลของฝ่ายตรงข้ามใช้การไม่ได้ หรือเชื่อถือไม่ได้

5. ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเสนอประเด็น ควรฟังอย่างตั้งใจ แล้วจับประเด็นสำคัญๆ ไว้เพื่อกล่าวแก้และพยายามรวบรวมเรื่องที่จะกล่าวโจมตีมากๆ

6. ควรใช้ถ้อยคำภาษาที่สุภาพ โดยคำนึงถึงวัฒนธรรมอันดีงามด้วย ไม่ควรพูดเสียดสีกันในเรื่องส่วนตัว

7.ใช้คำพูดที่เหมาะสม สั้น กะทัดรัด เข้าใจได้ในทันทีโดยไม่ต้องตีความ

8. ในขณะพูด ควรแสดงท่วงที กิริยา ท่าทาง และสีหน้าประกอบการพูด

9. การโต้วาทีไม่จำเป็นต้องขึงขังอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะการโต้วาที มักจัดขึ้นเพื่อความสนุกสนาน หรือจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติของงาน

10. ขณะพูด ควรควบคุมอารมณ์ให้ดี อย่าเผลอโกรธหรือแสดงอารมณ์เสีย เพราะจะเป็นจุดอ่อนให้ถูกโจมตี

11. เมื่อเสร็จสิ้นการโต้วาทีแล้ว เรื่องต่างๆที่ว่ากล่าวกันควรเลิกกันไป

12. หากมีการตัดสินให้แพ้ ควรวางสีหน้ายิ้มแย้ม อย่าแสดงอาการไม่พอใจ

จัดทำโดย ครูภาวณี สุคนธชาติ
โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดนครศรีธรรมราช

โต้วาที วจีขับขาน

ความหมายของการโต้วาที
โต้วาที หมายถึง การแสดงความคิดเห็นเพื่อเอาชนะความคิดเห็นของอีกฝ่าย การโต้วาทีจึงเป็นการเอาชนะกันด้วย "เหตุผลของวาที"
ลักษณะสำคัญของการโต้วาที
-เป็นการเสนอเหตุผลหรือแนวความคิดของตนเอง
-เป็นการหักล้างเหตุผลหรือแนวความคิดของฝ่ายตรงข้าม
-เป็นการพูดที่ต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบอย่างมาก
-เป็นการพูดที่ออกท่าออกทางประกอบมากเป็นพิเศษ
-เป็นการพูดที่ต้องมีความพร้อมอย่างมาก เพราะต้องเตรียมคำพูดให้ขบขัน สุภาพ แหลมคมและกระชับ
ประโยชน์ของการโต้วาที
การโต้วาทีมีประโยชน์ทั้งต่อผู้ฟังและผู้โต้ดังนี้
-ประโยชน์ต่อผู้ฟัง
1.1 เกิดความเข้าใจในหลักการ เหตุผล หรือแนวคิด
1.2 ได้เรียนรู้วิธีแสดงเหตุผลแบบต่าง ๆ จากผู้โต้วาที
1.3 เกิดประสบการณ์ที่แปลกใหม่
1.4 มีโอกาสเรียนรู้การใช้ถ้อยคำสำนวนมากขึ้น
1.5 รู้จักพิจารณาเหตุผล
1.6 เสริมสร้างระบอบประชาธิปไตย
-ประโยชน์ต่อผู้โต้วาที
2.1 เกิดการปรับปรุงแนวความคิดให้ลึกซึ้งมากขึ้น
2.2 เกิดความชำนาญในการพูด
2.3 รอบรู้ในหลักวิชา
2.4 ได้ฝึกใช้ปฏิภาณไหวพริบในการแก้ปัญหา
2.5 กล้าแสดงออกอย่างถูกทาง
2.6 ได้ฝึกมารยาทการเป็นผู้พูด และผู้ฟังที่ดี
2.7 รู้วิธีการเสนอแนวคิดของตนไปยังบุคคลอื่น

จุดมุ่งหมายของการโต้วาที

จุดมุ่งหมายของการโต้วาทีแบ่งออกได้เป็น 4 ประการคือ
-การโต้วาทีเพื่อหาข้อเท็จจริง เป็นการโต้แย้งด้วยหลักวิชาการ เพื่อค้นหาความจริงและความถูกต้องของสิ่งที่โต้วาที -การโต้วาทีเพื่อลัทธิ ไม่มุ่งข้อเท็จจริง มักเป็นไปอย่างรุนแรงและจริงจัง
-การโต้วาทีเพื่อเอาชนะฝ่ายศัตรู เช่น การโต้วาทีระหว่างฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยในศาล เป็นต้น
-การโต้วาทีเพื่อแสดงความคิดเห็นอย่างมีแบบแผน เป็นการโต้วาทีที่ต้องดำเนินตามระเบียบการโต้วาทีอย่างเคร่งครัด


องค์ประกอบของการโต้วาที

1. ญัตติ
ญัตติ คือ หัวเรื่องที่ใช้ในการโต้วาที ลักษณะของญัตติที่ดี
1.1 เป็นญัตติที่มีข้อความไม่ตายตัว สามารถคัดค้านได้ หรือไม่ใช่ข้อความที่เป็นจริง เช่นโรคเอดส์รักษาไม่หาย
1.2 เป็นญัตติที่ก่อให้เกิดความคิดได้หลายทางที่ก่อให้เกิดความคิดเห็นได้หลายทาง ทั้งในแง่ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เช่น "ผู้หญิงไม่ควรเป็นนักปกครอง" "ข้าวขึ้นราคาชาวนามั่งมี" "ควรสอนเพศศึกษาในโรงเรียนมัธยม" เป็นต้น
1.3 เป็นญัตติที่คนส่วนใหญ่สนใจ
1.4 เป็นญัตติที่ช่วยให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์ มีสาระและช่วยผู้ฟังเกิดความคิดที่กว้างขวางขึ้นกว่าเดิม
1.5 เป็นญัตติที่ไม่ก่อให้เกิดความแตกแยก หรือลบหลู่สถาบันใด ๆ เช่น รักกันหนาต้องพากันหนี 2. ประธาน (หรือผู้ดำเนินการโต้วาที)
ประธานควรระวังในเรื่องต่อไปนี้
2.1 ต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่เผลอกล่าวสนับสนุนผู้โต้วาทีคนใดคนหนึ่งเป็นอันขาด
2.2 ต้องพูดให้น้อยที่สุด เพราะผู้ฟังเน้นมาฟังผู้โต้วาทีมากกว่า
2.3 ต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องกำหนดการ ข้อมูลเกี่ยวกับญัตติ กรรมการ และผู้โต้วาที

3. กรรมการ
โดยปรกติมักกำหนดให้มีจำนวนคี่เพื่อความสะดวกในการตัดสิน
3.1 ประเด็นในการโต้
3.2 เหตุผล
3.3 การหักล้าง
3.4 วาทศิลป์
3.5 มารยาท คือท่าทาง เนื้อหาที่พูด การใช้ถ้อยคำ และการตรงต่อเวลา
3.6 ส่วนประกอบอื่น ๆ เช่นน้ำเสียง วิธีพูด และท่าทาง

4.ผู้โต้วาที
ในการโต้วาทีจะแบ่งผู้โต้วาทีเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายเสนอและฝ่ายค้าน ไม่จำกัดจำนวนว่าผู้โต้วาทีจะมีกี่คน แต่ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีจำนวนเท่ากันและมีหัวหน้าฝ่ายฝ่ายละ 1 คน

5. ผู้ฟัง
ผู้ฟังควรรู้จักพิจารณาถ้อยคำที่โต้ ตอนใดผู้โต้วาทีพูดดีเป็นที่ประทับใจควรปรบมือให้

การจัดการโต้วาที
ฝ่ายเสนอจะนั่งทางขวามือของผู้ดำเนินการโต้วาที ฝ่ายค้านจะนั่งทางซ้าย โดยหัวหน้าฝ่ายทั้งสองฝ่ายจะนั่งที่นั่งแรก เวลาที่ใช้ในการโต้วาที มี 4 แบบ

-533
-644
-755
-866

ตัวเลขตัวแรก คือ เวลาที่คิดเป็นนาทีที่หัวหน้าฝ่ายแต่ละฝ่ายใช้พูดในตอนต้น
ตัวเลขตัวกลาง คือ เวลาที่คิดเป็นนาทีที่ผู้สนับสนุนแต่ละคนใช้พูด
ตัวเลขตัวท้าย คือ เวลาที่คิดเป็นนาทีที่หัวหน้าฝ่ายแต่ละฝ่ายใช้สรุป วิธีการโต้วาที

ประธานหรือผู้ดำเนินการโต้วาที
จะกล่าวเปิดการโต้วาที ต่อมาเป็นหัวหน้าฝ่ายเสนอ แล้วจึงสลับไปเป็นหัวหน้าฝ่ายค้าน สลับไปมาเช่นนี้ เมื่อหมดเวลาการโต้วาที ผู้ดำเนินการโต้วาทีจะให้หัวหน้าฝ่ายค้านเป็นผู้สรุปก่อน จากนั้นหัวหน้าฝ่ายเสนอจะเป็นผู้สรุปสุดท้าย เพื่อจะได้มีโอกาสที่จะพูดแก้เหตุผลของฝ่ายค้านได้อย่างเต็มที่


เทคนิคในการโต้วาที
เทคนิคการโต้มี 4 ประการ คือ
-การป้องกัน หมายถึง การป้องกันญัตติด้วยการหาเหตุผลมาล้อมรั้วสาระของญัตติ
-การโจมตี หมายถึง การกล่าวซ้ำเติม หรือกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าไร้เหตุผล
-การต่อต้าน หมายถึง การหักล้างเหตุผลการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามที่กล่าวโจมตีฝ่ายตน
-การค้านอย่างมีศิลปะ การค้านจะทำได้ 3 วิธี คือ
4.1 ค้านญัตติ เป็นการค้านตัวญัตติหรือสาระของญัตติว่าไม่ถูกต้อง
4.2 ค้านเหตุผล เป็นการค้านเหตุผลที่อีกฝ่ายเสนอมา
4.3 ค้านข้ออ้างอิง เป็นการค้านข้ออ้างอิงที่อีกฝ่ายเสนอมา ข้อแนะนำสำหรับผู้โต้วาที

ผู้โต้วาทีควรเป็นผู้รอบรู้ในด้านต่าง ๆ
ผู้โต้วาทีควรมีเวลาเตรียมตัวมากพอสมควร
ผู้โต้วาทีควรพูดอยู่ในประเด็น
ผู้โต้ต้องมีสติ ไม่เผลอพูดสนับสนุนฝ่ายตรงข้าม
ผู้โต้วาทีต้องมีวาทศิลป์
ผู้โต้วาทีต้องมีอารมณ์ขัน
ผู้โต้วาทีควรคำนึงถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อส่วนรวม
ผู้โต้วาทีจะต้องระมัดระวังเรื่องมารยาทให้มาก
ผู้โต้วาทีต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม

http://khrunamwan.blogspot.com

สุภาษิตล้านนา

สุภาษิตล้านนา

ก้นหม้อบ่ฮ้อน บ่เป็นแต่ไห มันเป็นแต่ไฟ บ่าใจ้กับหม้อ
(อย่าด่วนตัดสิน สาเหตุของปัญหา ควรพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน)

กบไกล้ปากงู หนู้ใกล้บอกไม้ ชิ้นเกลือดังแมว
(ชายหยิงที่อยู่ใกล้ชิดกันมาก ย่อมยากที่จะหักใจ)

กล้วยคาง่าม ง่ามคากล้วย
( คนเราต้องพึ่งพาอาศัยกัน)

กิ๋นแล้วหื้อเก็บ เจ็บแล้วหื้อจำ
(ให้รู้จักเก็บและจดจำประสบการณ์เอาไว้)

กิ๋นหวอม ผอมจ้อค่อ
(ทุ่มเททำอะไรลงไปแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น)

เก็บผักหลวดหักหลัว ตกขัวหลวดอาบน้ำ
(รู้จักใช้ประโชชน์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์จะไม่เสียเวลา)

เก็บผักหื้อเอาตึงเครือ เก็บบ่าเขือหื้อเอาตึงขวั๊น
(ทำอะไรให้เรียบร้อย อย่าเอาส่วนที่มีประโยชน์แล้วทิ้งส่วนอื่นไว้ )

เกิดเป็นคนขึ้นห้วยหื้อสุด ขุดฮูไหนหื้อตึก
(ทำให้ถึงที่สุด )

แก่นตาควักออก เอาบ่ากอกเข้ายัด
(ของมีค่าอยู่กับตนไม่รู้จักใช้ แต่ไปหาสิ่งไร้ค่ามาแทน)

แก่เพราะกิ๋นข้าว เฒ่าเพราะเกิดเมิน
( คนสูงอายุที่มีคุณค่าสมกับวัย)

ไก่เกยจน คนเกยฟ้อน
(ตนที่มีประสบการณ์ย่อมย่อมทำงานที่เคยทำมาแล้วได้)

ของกิ๋นลำอยู่ที่คนมัก ของจักฮักอยู่ที่เปิงใจ
(อะไรดีไม่ดีอยู่ที่ใจ)

ขอนบ่มีเห็ด ไผตึงบ่เข้าไกล้
( สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ย่อมไม่มีใครสนใจ)

ข้ามขัวยังบ่ป้น อย่าฟั่งห่มกันแยงเงา
( ทำอะไรยังไม่สำเร็จอย่าเพิ่งโอ้อวด)

ขี้ควายไหลตวยน้ำ
(โลเล ไม่แน่นอน)

คนง่าวบ่มี คนผะหยาดีก็ง่อม
( เป็นธรรมดาความโง่ความฉลาดเป็นคู่กัน)

คนใบ้ใช้หลายเตื่อ
( คนโง่ต้องใช้หลายครั้ง)

คนอู้ได้ปากนัก อมแพะเต็มปากยังบ่ฮู้ตัว
(ยากนักที่จะห้ามคนพูดมากให้หยุดพล่าม)

คนเฮาใหญ่แล้ว บ่ถ้าไผสอน จิ๊หีดแมงจอนไผสอนมันเต้น
(คนเรามีสามัญสำนึกรู้ชอบชั่วดีเอง ไม่ต้องรอให้คนสอน)

คิดว่าตั๋วหล๊วกคือคนง่าว คิดว่าตั๋วง่าวคือคนหล๊วก
(อวดรู้อวดฉลาดคือคนโง่ คนฉลาดมักอ่อนน้อมถ่อมตน)

จ๊กกล่องเข้า จุ๊หมาเฒ่าแกว่งหาง
(สาวหลอกชายแก่ให้หลงรัก)

จิ้นบ่เน่าหนอนบ่จี คำบ่มีเขาบ่ว่า
(ถ้าไม่มีเหตุคงไม่มีผล)

เฒ่าหัวเฒ่าหาง ตางกลางยังบ่เฒ่า
( แก่แต่ตัวหัวใจไม่ยอมแก่)

ดั๊กจื้อกื้อ เหมือนลื้อฟังธรรม
(นั่งเงียบไม่พูดไม่จา)

ตกต่าเปิ้นเป็นดีไคร่หัว ตกต่าตัวเป็นดีใคร่ไห้
( อย่าหัวเราะเยาะผู้อื่น)

ตูบน้อยไผว่าบ่มีผี คนงามคนดีไผว่าบ่มีเจ้าของ
( คนดีย่อมเป็นที่ปราถนาของผู้อื่น)

ปลาแห้งไกล้แมว แมวบ่กิ๋นแมวง่าว สาวใกล้บ่าว บ่าวบ่าหยุบก็ซวาม
(อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน)

เผื่อฮุ้คิง น้ำปิงปอแห้ง
(รู้ตัวอีกที่ก็สายไปแล้ว)



โดย: ขโยมเฒ่า

110 คำถามกวนๆ น่ารักๆ

110 คำถามกวนๆ น่ารักๆ

"อิ่ม"ในญี่ปุ่นว่าอย่างไร
.:•:. อิ่มจัง

อะไร เอ่ยทำไม
.:•:. เหล็ก/โลหะ (ทำไมค์)

อะไร อยู่บนไอติม
.:•:. คางคก (คางคกขึ้นวอลล์)

ปีอะไร มีหลายสี
.:•:. ปีโป้

แล้ว...ปีอะไร มีสีเดียว
.:•:. ปีโป้อันเดียว

แล้ว...ปีอะไร ไม่มีสี
.:•:. ปีโป้หมดแล้ว

ครูอะไร ใช้ปากกาด้ามเดียว
.:•:. ครูวันเพ็ญ (One Pen)

แกงเขียวหวาน ทำอะไรถึงจะอร่อย
.:•:. กิน

นพมีโทรทัศน์ นัทมีอะไร
.:•:. นัท มีเรีย

รองเท้าอะไร หายากที่สุด
.:•:. รองเท้าหาย

ส้มบางอะไร หวาน
.:•:. ส้มบางลูก

ปลาอะไร ปากเล็กที่สุด
.:•:. ปลาบู่ (ทำปากจู๋ด้วย)

ปลาอะไร ปากกว้างที่สุด
.:•:. ปลาร้า (อ้าปากกว้างๆด้วย)

ปลาอะไร 2000 บาท
.:•:. ปาขยะไม่ลงถัง ปรับ 2000 บาท

ปลาอะไร สองตัวยี่สิบ
.:•:. ปลาตัวละสิบ

ปลาอะไร เข้าวัดไม่ได้
.:•:. ปาหัวเจ้าอาวาส

ปลาอะไร กินลูกตัวเอง
.:•:. ปลาใจร้าย

ปลาอะไร ชื่อยาวที่สุด
.:•:. ปาเจรา.…ขัตติยา..โหตุ…..จำไม่ได้แล้วยาวมาก

ปลาหมอ ตายเพราะอะไร
.:•:. ไม่หายใจ

ปลาอะไร สุภาพที่สุด
.:•:. ปลาคร้าบบบ…ฟ....

ทำไม ปลาจึงวางไข่
.:•:. เพราะถ้าโยน ไข่จะแตก

เอาช้างใส่ตู้เย็น มีกี่ขั้นตอน
.:•:. 3 ขั้นตอน เปิดตู้เย็น/เอาช้างใส่/ปิดตู้เย็น

แล้ว...เอายีราฟใส่ตู้เย็น มีกี่ขั้นตอน
.:•:. 4 ขั้นตอน เปิดตู้เย็น/เอาช้างออก/เอายีราฟใส่/ปิดตู้เย็น

แล้ว...ยีราฟวิ่งแข่งกับเต่า ใครชนะ
.:•:. เต่า (ยีราฟถูกแช่อยู่ในตู้เย็นเมื่อกี้เอง)

อะไรเอ่ย สวยแต่เหม็น
.:•:. นางสาวไทยตด

มันอะไร ข้างนอกสีเขียวข้างในสีแดง
.:•:. มันคือแตงโม

เดือนอะไร มี 32 วัน
.:•:. เดือนกว่า ๆ

อะไรเอ่ย คนหนึ่งรู้ สองคนรู้ สามคนไม่รู้
.:•:. ตด

ประเทศไทย มีอะไรครอบครอง
.:•:. สะพาน (ครอบคลอง)

น้ำอะไร ยืนได้
.:•:. น้ำตื้นๆ

ทำไมเวลาสิงโตตื่นนอนต้องหันซ้ายทีขวาที
.:•:. เพราะหันทีเดียวพร้อมกัน 2 ข้างไม่ได้

ทำไมพระยาพิชัยจึงเป็นทหาร
.:•:. ไม่ได้เรียนร.ด.

นาฬิกาตี 13 ครั้ง เวลานั้นเป็นเวลาอะไร
.:•:. เวลาเสียเงิน (นาฬิกาเสียแล้วต้องเสียค่าซ่อม)

หมาอะไร อดอยาก ผอมโซ
.:•:. หมาไม่แดก

งูอะไรทำเหมือนหมา
.:•:. งูเห่า

หมาอะไร ตีเท่าไหร่ๆ ก็ไม่ร้อง
.:•:. หมาอดทนจริงๆ

นายพรานยิงนกพิราบที่บินผ่านแต่ไม่ถูก แต่ ทำไม นกพิราบตัวนั้นจึงตกลงมาตาย
.:•:. นกพิราบหนวกหูเสียงปืน จึงเอาปีกปิดหู

แล้ว...ทำไมอีกามีสีดำ
.:•:. ไว้ทุกข์ให้นกพิราบที่ตกลงมาตาย

แล้ว...ทำไมอีแร้งถึงหัวเกรียน
.:•:. บวชให้นกพิราบที่ตกลงมาตาย

จุฬาเข้าไปธรรมศาสตร์ได้แต่ทำไมธรรมศาสตร์ เข้าไปในจุฬาไม่ได้
.:•:. จุฬาลงกรณ์ (ลงกลอน)

ใต้สะพานมีจระเข้ สัตว์เดินผ่านสะพานจะถูก กินหมด วันหนึ่งมีหมูเดินผ่านทำไมไม่โดนกิน

.:•:. จระเข้เป็นอิสลาม

อะไร อยู่บนกระดาษ
.:•:. ซาลาเปา

อะไร อยู่ใต้กระดาษ
.:•:. ซาลาเปาคว่ำ

ทำไมซาลาเปาถึงอาย
.:•:. เพราะโดนขนมจีบ

ทำไมขนมจีบถึงชอบซาลาเปา
.:•:. เพราะซาลาเปาทั้งขาว ทั้งอวบ

ทำไมเวลาเปิดตู้ยาต้องเปิดและปิดเบาๆ
.:•:. กลัวยานอนหลับตื่น

โยนนมสองกระป๋องลงน้ำ ทำไมกระป๋องนึงจม แต่อีกกระป๋องไม่จม
.:•:. นมตราหมี (จม) /นมตราเรือใบ (ลอย)

มีรถบรรทุกแล่นขึ้นสะพาน สะพายหัก รถตก ลงในน้ำ แต่ทำไมรถไม่จม
.:•:. รถคันนี้บรรทุกผงชูรส (ชูรถ)

มีรถบรรทุกปลาทู ปลาทูตกลงบนถนน รถคัน ที่ตามหลังมาแล่นมาทับ ทำไมปลาทู
ไม่ตาย
.:•:. ปลาทูแข็งแรงมาก

ปู่เกลียดอะไร
.:•:. สปาร์ค ยาฆ่าหญ้า (ฆ่าย่า)

ถ้าสโนไวท์อยากเป็นแม่ค้า ถามว่าจะขายอะไร
.:•:. ขนมครก (เพราะมีคนแคะทั้งเจ็ด)

10+10 เท่ากับเท่าไร
.:•:. = 25 (กระเทยตอบ "ยี่สิบฮ้าาาา...")

งูตกลงไปในถังขยะ ถามว่างูฉกอะไร
.:•:. ฉกกะปรก (เด็กพูดไม่ชัด)

โรงเรียนอะไร เล็กที่สุด
.:•:. โรงเรียนของหนู (ทำปากจู๋ด้วย)

ทำไมเรือไททานิคถึงล่ม
.:•:. เรือไททานิคร่ม (รื่น) เพราะมีหลังคา

เราเรียกผู้หญิงที่ไม่ยอมคุมกำเนิดว่าอะไร
.:•:. คุณแม่

ลูกที่ฆ่าพ่อแม่ตาย เรียกว่าอะไร
.:•:. ลูกกำพร้า

หลิวเต๋อหัวใช้บัตรวีซ่า อาฉีใช้บัตรอะไร
.:•:. บัดซบจริงๆเลย

จังหวัดอะไร ชีอ้อนสงฆ์
.:•:. สงขลาาาาาาา…

ชีอะไร ไม่ชอบว่ายน้ำ
.:•:. She doesn't like swim

ทำไมชี จึงไม่กล้าเข้าจุฬา
.:•:. กลัวพระ เกี้ยว

นกอะไรเอ่ย ตัวติดกับเท้า หัวก็ติดกับเท้า ปีกก็ ติดอยู่กับเท้า ปากก็ติดอยู่กับเท้าอีก
.:•:. นกโดนเหยียบ

พ.ศ.2499 ยุคอันตพาลครองเมือง อีก 5 ปีถัดมาจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
พ.ศ.2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม (ร้องเป็นเพลงด้วย)

โก๋แก่ ทำจากอะไร
.:•:. ทำจาก "มัน" (โก๋แก่มันส์ทุกเม็ด)

คนอะไรมีสองตา
.:•:. คนที่มีสองยาย

ทำไม ไม่ควรดื่มสุราขณะขับรถ
.:•:. เพราะเหล้าจะหก

เซอร์ไอแซคนิวตันรู้อะไร จากการที่ลูกแอปเปิ้ล ตกลงมาที่ที่เขานั่ง
.:•:. ควรจะย้ายไปนั่งที่อื่น

กาอะไรมี 5 เสียง
.:•:. กา ก่า ก้า ก๊า ก๋า

ทำไมนกจึงบินมาประเทศไทยจากทางทิศใต้
.:•:. เพราะมันเดินมาไม่ได้..ไกลมาก

ทำไมหินถึงจมน้ำ
.:•:. ว่ายน้ำไม่เป็น

"สลิมเคย" คืออะไรอยู่ในกรุงเทพฯ
.:•:. บางกะปิ (สลิม=บาง / เคย= กะปิ)

น้ำอะไรที่โลกไม่ต้องการ
.:•:. น้ำหน้าอย่างคุณ (อย่างแก..อย่างมึ_…สุดแล้วแต่)

สีอะไรดูโง่ๆ
.:•:. สีหน้าคุณตอนนี้ไง (หน้าแก..หน้ามึ_…สุดแล้วแต่)

ยูริ โตชิ และยางิ เป็นเพื่อนกันถามว่าใครบ้า
.:•:. โตชิ (โตชิบ้า)

ตาของซินเดอเรลล่า ชื่ออะไร
.:•:. ชื่อแอน (แอนตาซิน)

ชิเป็นหลานใคร
.:•:. เป็นหลาน "ฮิ" (ฮิตาชิ)

อะไรเอ่ย มัจฉาอ่อนแรง
.:•:. ปลาร้า (อ่อนล้า)

ปัจจุบันอักษรในภาษาอังกฤษมีกี่ตัว
.:•:. 24 ตัว (เดิมมี 26 ตัวแต่ E.T. Go Home ไปแล้ว 2 ตัว)

หมูอะไรเอ่ยกินไม่อิ่ม
.:•:. หมูน้อยๆ

แล้ว...หมูอะไรกินอิ่ม
.:•:. หมูน้อยๆ ข้าวเยอะๆ

ต้นอะไรออกลูกเป็นแมว
.:•:. ต้นตระกูลแมว

จระเข้หางขาด แล้วจะเป็นอย่างไร
.:•:. เป็นแผลที่หาง

พยาบาลกลัวอะไรที่สุด
.:•:. กลัวหมอฟัน

ก่อนเป็นพยาบาลต้องเป็นอะไรมาก่อน
.:•:. พยาตูม (ต้องตูมก่อนถึงจะบาน)

โรงเรียนอะไรอยู่กลางถนน
.:•:. โรงเรียน ลดความเร็ว (ป้ายจราจร)

สิทธิชัย หยุ่น ชอบเบอร์อะไรมากที่สุด
.:•:. เบอร์กามอท

ทำไมชีวิตคนเราต้องมีการเปลี่ยนแปลง
.:•:. เพราะแปรงเก่า ใช้มานานจนขนแปรงบานแล้ว

วันอะไรไม่ควรสระผม
.:•:. วันพฤหัส (วันพฤหัสสระบ่ดี)

ยายพายเรือไปวัด เรือก็มีแล้ว พายก็เอาไป ยายขาดอะไรถึงไปไม่ถึงวัด
.:•:. ขาดใจตาย

เงินสกุลอะไรน่ากลัวที่สุด
.:•:. เงินบาด

มีอะไร ตัวสีขาว หัวสีแดง ขาสีฟ้า ตาสีรุ้ง
.:•:. มีที่ใหนกันเล่า..โธ่เอ๋ย

ทำไมจึงต้องเติมจุดที่ซาลาเปา
.:•:. จะได้รู้ว่าลูกใหนเติม ลูกใหนยังไม่เติม

ลุ่มน้ำอะเมซอลเป็นแหล่งที่อยู่ของปลาปีรันย่า ถ้าคนตกลงไปจะเป็นอย่างไร
.:•:. เปียก

ทหารราบ กลัวอะไรที่สุดในสงคราม
.:•:. ทหารลาว (เพราะทหารลาวกินลาบ)

อะไรรุนแรงกว่า "ลูกเตะ"
.:•:. พ่อเตะ

ทำไมขับรถชนนก ถึงต้องติดคุก
.:•:. ขับรถไปชนนกหวีดที่ติดอยู่กับปากตำรวจจราจร

ผู้ชายกับผู้หญิง ใครฉี่ไกลกว่ากัน
.:•:. ผู้หญิง (ผู้ชายฉี่ข้างๆรถได้ แต่ผู้หญิงต้องไปฉี่ไกลถึงโน่น)

ห้องน้ำชายกับห้องน้ำหญิง ห้องไหนเหม็นกว่ากัน
.:•:. ห้องน้ำหญิง (หน้าห้องน้ำชายเขียนแค่เหม็น (Men) แต่ เหม็นกว่ากัน ห้องน้ำ
หญิงเขียนว่า วู้…เหม็น (Women))

พระใช้อะไรตีระฆัง
.:•:. ใช้เณร

มนุษย์ไฟฟ้าสีอะไร กินข้าวเหนียว
.:•:. ศรีสระเกษ

คิดอะไร เราอดกิน
.:•:. คิด คิด เพื่อนเคี้ยว

ทำไม ฝนจึงตก
.:•:. ฝนตก เพราะฝนไม่มาสอบ/หรือไม่อ่านหนังสือสอบ

กัดแอปเปิ้ล1คำเจอหนอน1ตัว กัด2คำเจอ2ตัว ถามว่ากัดจนเจอหนอนกี่ตัวจึงตกใจสุดขีด
.:•:. ครึ่งตัว

อาภาพร นครสวรรค์ชอบสัตว์อะไร
.:•:. ม้า (ชอบม้า..ชอบม้า…รูปร่างหน้าตาอย่างเนี้ย….)

ถ้า"ยุ้ย"เป็นพยาบาลแล้ว "ยอม"เป็นอะไร
.:•:. ยอมเป็นข้าวมันไก่ (เพลงของเจมส์)

จากเพลง"แมลง"ของทาทา "โปรมีสิต"อะไร
.:•:. โปรมีสิทธิ์จะไทร์ (ออก)

ใครเป็นคนเทเบียร์ลีโอให้ผู้ว่าฯ ในโฆษณา
.:•:. นิโคล (นิโคล เทลีโอ)

ไบรโอนี่มีเขา แล้วไบกอนมีอะไร
.:•:. มีขายตามท้องตลาด

จากหนังเรื่องนางนากตายแล้วต้องห่อด้วยเสื่อ ถามว่าใครห่อนาก
.:•:. นิติพงษ์ (ห่อนาค)

ย่าของหญิงชื่ออะไร
.:•:. ชื่อญา (ญา ย่า หญิง)

By : ตะวันสีทอง Date : 4 Jun 2005 11:09

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

เทคนิคเรียนเก่ง ๆ

IQ – EQ รหัสลับ สร้างคนเก่ง

เทคนิคเรียนเก่ง7ข้อ
เครดิต : หนังสือของคุณหนูดี

ข้อที่ 1 : พกปากกาสี 12 สี ติดตัว
ทฤษฎีสี กล่าวไว้ ว่า สีจะสามารถเพิ่มการจดจำเนื้อหาต่าง ๆ ได้มากกว่า สีน้ำเงินที่เขียนตามปกติ
จึงควรซื้อปากกาสีต่าง ๆ ติดตัวไว้ เวลาอ่านหนังสือก็ใช้ปากกาสีในการจดเนื้อหา ของ stabio ก็ดีนะ ทนหลายปีเลยแหล่ะ
* สำหรับคนที่กลัวว่าจะจดไม่ทันก็ใช้วิธีจดเฉพาะเนื้อหาสำคัญพร้อมกับบันทึกเสียงไปพร้อม ๆ กัน แค่นี้ก้อสามารถจดจำได้แล้วล่ะ

ข้อที 2 : ใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้น
การใช้สมุดnote ที่มีลายเส้นนั้นเหมือนเราอยู่แต่ในกรอบเส้นนั้น แต่ถ้าใช้สมุดnote ที่ไม่มีเส้นนั้นจะ
ทำให้เราไม่มีกรอบในการเขียน เราอยากเขียนอะไรก็อยากเขียนได้ทั้งนั้น ปัจจุบันหาซื้อยาก ต้องลองหาแถว ร้านขายสมุดวาดรูปดูน่ะ

ข้อที่ 3 : บันทึกงานออกมาในรูป Mind Map Or Pic.
ถ้าเราอ่านหนังสือการ์ตูนตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กับอ่านหนังสือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจะสามารถจดจำ
การ์ตูนได้มากกว่า เวลาจดเนื้อหาบางอย่างอาจจะจดในรูปแบบ Pic. จะสามารถจดจำได้มากกว่า
การบันทึกงานในรูปแบบของ mind Map จะเป็นการแบ่งเรื่องหัวข้อใหญ่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการอ่าน
อาจใช้ mind map เป็นรูปก็ได้

ข้อที่ 4 : Mp3
เราควรจะมี mp3 เพื่อใช้ในการบันทักเสียงเวลาที่คุณครูสอนแต่ไม่สามารถฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาได้ครบทุกอย่าง
หากเราอัดไว้ก็จะสามารถย้อนกลับไปฟังได้ หลาย ๆ ครั้ง ก่อนสอบ

ข้อที่ 5 : เอาใจครู
เอาใจครูในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเอาอกเอาใจครู หมายถึง ทำตัวตามสไตร์ที่คุณครูชอบ เพื่อเพิ่มความชอบของคุณครูในตนเอง
เวลาเราชอบครูคนไหนก็อยากเรียนกับครูคนนั้น อยากส่งงาน ครู อยากเจอหน้าครู ก็จะทำให้เรียนเก่งยิ่งขึ้น
เพราะ เราอยากเรียนวิชานั้น ๆ

ข้อที่ 6 : พูดคุยกับปากกา
ก่อนสอบ หรือก่อนเขียนงานเราควรพูดคุยกับปากกาบ้าง
คุณหนูดี กับ ด็อกเตอร์ อะไรเนี่ยแหล่ะจำชื่อไม่ได้ ก็ใช้วิธีนี้จนเรียนจบปริญญา

ข้อที่ 7 : นั่งหน้าห้อง
นั่งหน้าห้องจะสามารถทำให้เราได้ยินมากกว่าคนที่นั่งข้างหลังเรา เห็นชัดกว่าคนข้างหลังเรา
และสามารถถามครูได้มากกว่า ซึ่งมันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว

ขอบคุณข้อมูล
เด็กดีดอทคอม

10 ผลไม้ไทยสร้างเด็กเก่ง
10 ผลไม้ไทยมีสารต้านมะเร็ง


กรมอนามัย วิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้ เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้ ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูง คือ

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

2. มะเขือเทศราชินี

3. มะละกอสุก

4. กล้วยไข่

5. มะม่วงยายกล่ำ

6. มะปรางหวาน

7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง

8. มะยงชิด

9. มะม่วงเขียวเสวยสุก

10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม

• ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย คือ แก้วมังกร มะขามเทศ มังคุด ลิ้นจี่ และสาลี่

• ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูง คือ ฝรั่งกลมสาลี่ ฝรั่งไร้เม็ด มะขามป้อม มะขามเทศ เงาะโรงเรียน ลูกพลับ สตรอเบอร์รี่ มะละกอสุก ส้มโอขาว แตงกวา และพุทราแอปเปิล

• การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรก คือ ขนุนหนัง มะขามเทศ มะม่วงเขียวเสวยดิบ มะเขือเทศราชินี มะม่วงเขียวเสวยสุก มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะม่วงยายกล่ำ แก้วมังกรเนื้อสีชมพู สตอเบอร์รี่ และกล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของอาหารสารที่ช่วยกำจัด อนุมูลอิสระ ที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด

ขอบคุณข้อมูล
Vcharkarn

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

Toastmasters Humorous Speech Contest

ดู Acting ประกอบการเล่าเรื่องตลก



เทคนิคการอ่านหนังสือให้จบเร็วๆ และจำได้ด้วย ด้วย Mind Map

แบบว่าเพื่อนผมเค้าแนะนำให้ผมเอา VCD Mind Map ไปดู เค้าบอกว่า คนเราถ้าอ่านหนังสือหรือฟังอะไรที่มันช้าๆ จะจำไม่ได้ ตัวอย่างเล่น ถ้าเราพูดว่า สา หวาด ดี คราบ โผม ชื่อ นาย สูด หล่อ ที่ สูด นาย โลก เลย ถ้าเป็นแบบนี้มันจะจำได้ยากครับ เพราะฉนั้น ถ้าอยากจำได้ดี ต้องอ่านให้เร็ว หรือว่าฟัง/ดู VCD โดยใช้ Power DVD แบบเร็ว 1.5x-2x

เทคนิคการอ่านให้เร็ว ก็ทำแบบนี้ครับ ใช้นิ้วแหย่เอ๊ย กวาดไล่ตามตัวหนังสือนำหน้าสายตาของเราที่กำลังจะไปถึงหนังสือตัวนั้น มันจะทำให้เราอ่านได้เร็ว และสมาธิของเราก็จะอยู่ที่นิ้วของเรา+ตัวหนังสือด้วย

ลองเอาไปหัดดูครับ แรกๆมันจะขัดๆ แต่บ่อยๆแล้วจะดีเองครับ ทุกอย่างมันจะยากก่อน แล้วถึงจะง่าย


เรื่องเทคนิคการจด เค้าบอกให้เราทำแบบนี้ครับ แต่ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงอ่ะ ดูภาพเองแล้วกันครับ พวกนักศึกษาแพทย์ที่โรงบาลผม เค้าจดกันแบบนี้อ่ะครับ ไม่จดเป็นตัวหนังสือ เพราะว่าสมองจะไม่ค่อยจำตัวหนังสือที่เรียงๆกันเป็นเส้นตรง แต่สมองจะจดจำภาพได้ดีกว่าครับ


นี่คือตัวอย่างการจดบันทึกแบบ Mind Map
ดูแล้วเหมือนเด็กน้อยเลย แต่มันก็ทำให้เราจำได้จริงๆครับ เหตุผลเพราะว่า ถ้าเราจดเป็นรูป สมองของเราจะตื่นเต้น เพราะว่าเราไม่เคย
เห็นแบบนี้มาก่อน แล้วมันจะไปกระตุ้นสมองทั้งสองซีก(ถ้าจำไม่ผิดนะ) มันจะช่วยกันจดครับ


โครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์เปิดรับเยาวชนเข้าร่วมโครงการประจำปีนี้แล้ว โดยรับเยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 18-30 ปี ไปแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับเยาวชนชาติต่าง ๆ

โครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ประจำปี 2550 เปิดรับสมัครเยาวชนอายุ 18-30 ปี ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน จนถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2550 โดยมีคุณสมบัติดังนี้

- ต้องเป็นผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี

- เป็นโสด มีพันธะใด ๆ

- สุขภาพแข็งแรง

การยื่นใบสมัคร

สมัครได้ตามวันเวลาที่กำหนดทั้งที่สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ (สท.) ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 18 พฤษภาคมนี้



ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.opp.go.th หรือโทรศัพท์ 022555850 ต่อ 178/179

เคยได้ทุนนี้ตอนปี 2003 ซึ่งทุนเรือเยาวชนฯ เป็นทุนของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีประเทศเจ้าภาพร่วม คือ ประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และประเทศญี่ปุ่น โดยที่ตัวโครงการมีเป้าหมายเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในวิถีชีวิตของประชาชนในประเทศสมาชิกให้กับเยาวชนที่เป็นตัวแทนฯ ซึ่งเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการนี้ก็จะต้องเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งบนเรือและประเทศที่เรือเยาวชนไปแวะจอด (ไม่ได้ไปทุกประเทศแล้วแต่ว่าในแต่ละปีจะกำหนดให้เรือแวะที่ประเทศใดบ้างแต่ที่แน่ ๆ คือ ได้ไปญี่ป่นแน่นอนประมาณ 2 อาทิตย์)โดยเฉลี่ยแล้วก็ประมาณประเทศละ 3-4 วัน (ไม่นับการเดินทาง) กิจกรรมที่เยาวชนจะต้องไปทำก็คือ การอภิปรายเชิงวิชาการที่ได้มีการกำหนดหัวข้อไว้แล้วก่อนการเดินทางของเยาวชนประเทศต่าง ๆ ซึ่งจะมีการแยกเป็นกลุ่มย่อยๆ การแสดงวัฒนธรรม และการอยู่อาศัยร่วมกับเพื่อนชาวประเทศ (ในแต่ละห้องจะอยู่ได้ 3 คน โดยที่คนชาติเดียวกันจะไม่ได้นอนด้วยกัน) รวมทั้งการพักอาศัยกับครอบครัวของประเทศที่เรือไปจอด รวมระยะเวลาในการเดินทางตลอดโครงการประมาณ 2 เดือน ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายบนเรือตลอดโครงการไม่ต้องเสีย แต่อาจจะต้องเสียบางส่วนเช่น ค่าข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ค่าของที่ระลึกที่เราอาจจะอยากซื้อเวลาที่ไปแวะประเทศต่าง ๆ ถ้าเป็นข้าราชการก็จะเบิกได้ในส่วนที่เป็นค่าธรรมเนียมภาษีสนามบิน ค่าเครื่องแต่งกาย (เบิกได้ตามระเบียบราชการ) แต่ค่ากินอยู่ไม่ต้องเสีย เรียกได้ว่าแทบจะฟรีทั้งหมดเลยก็ว่าได้ เคยไปมาแล้วสนุกและได้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจ หากสนใจก็น่าจะลองไปสมัครสอบดู ปล.ข้อสอบเป็นข้อสอบอัตนัยให้เขียนบรรยายเป็นภาษาอังกฤษในประเด็นที่กำลังเป็นปัญหาระหว่างประเทศหรือประเด็นปัญหาใหญ่ ตอนปี 2003 เท่าที่จำได้ ถามความเห็นเรื่องการฆ่าตัดตอน และการประชุมเอเปค 2003 ที่กรุงเทพ รวมทั้งปัญหาสหรัฐบุกอิรัก